วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

มาร ๕ ฝูง



     งานหลักของการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือการสั่งสมบุญบารมี ชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ

พ้น จากความเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร ที่คอยบังคับบัญชาให้เราต้องคิดผิด พูดผิด และทำผิด หลงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอันยาวไกล ตราบใดที่เรายังเอาชนะกิเลสในตัวไม่ได้ ก็ยังชื่อว่าตกอยู่ในความประมาท ยังตกอยู่ภายใต้การครอบงำของหมู่มารทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวปุตตมาร การที่เราฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อจะทำตนให้หลุดพ้นจากมารร้ายต่างๆ เหล่านี้ แล้วมุ่งไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต คืออายตนนิพพานอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ


พระกาติยานเถระ กล่าวธรรมภาษิตไว้ใน ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ว่า

     "ประทีปที่ส่องแสง ถ้ามีแสงน้อย ย่อมดับไปด้วยลมได้ เหมือนเถาวัลย์ที่เหี่ยวแห้งไป ฉันใด ท่านก็จงเป็นผู้ไม่ถือมั่น แล้วกำจัดมาร ผู้มีโคตรเสมอด้วยพระอินทร์ฉันนั้นเถิด เมื่อท่านกำจัดมารได้อย่างนี้แล้ว เป็นผู้ปราศจากความกำหนัดพอใจในเวทนาทั้งหลาย จะเป็นผู้มีความเย็น รอคอยเวลานิพพานในอัตภาพนี้ทีเดียว"



     มาร คือผู้ขวางความดี ขัดขวางหนทางของการสร้างบารมี คอยล้างผลาญทำลายความดีของมนุษย์ แล้วชักนำให้คนกระทำในสิ่งที่เป็นบาปอกุศล พอกพูนอาสวกิเลสให้หนาแน่นยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ขวางกั้นไว้ไม่ให้ทำความดีได้เต็มที่ ทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในสังสารวัฏได้ยาก ในศาสนาต่างๆ มีการเรียกชื่อและให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องมารเอาไว้มากมาย ในทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกไว้ว่า มีอยู่ ๕ ประเภทด้วยกันคือ


     ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์ ขันธ์ ๕ ได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้ชื่อว่าเป็นมารร้ายทีเดียว เพราะบางครั้งก็ทำความลำบากให้กับเรา เช่น เมื่อตัวร้อนเป็นไข้ ปวดหลัง ปวดท้อง ปวดฟัน และโรคต่างๆ สารพัด แทนที่เราจะได้ใช้เวลาที่มีอยู่นี้ไปกับการสั่งสมความดีให้เต็มที่ ก็ต้องเสียเวลาไปกับการเยียวยารักษาบริหารขันธ์


     กิเลสมาร มารคือกิเลสที่ฝังติดแน่นอยู่ในใจของเรามานับภพนับชาติไม่ถ้วน อาสวกิเลสเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อใจตกอยู่ในอำนาจของกิเลส คือความโลภ ความโกรธ และความหลงนี้แล้ว สิ่งใดที่ไม่เคยคิดก็เผลอคิด เรื่องอะไรที่ไม่ดีซึ่งเราไม่เคยพูด ไม่เคยทำ ก็หลงไปทำ กิเลสทำให้เกิดกรรม เมื่อเกิดกรรมก็มีวิบากมารองรับ ชีวิตจึงต้องเวียนวนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น กิเลสเหล่านี้ผูกยึดสัตว์เอาไว้ในภพสาม ทำให้ไม่สามารถไปสู่อายตนนิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของเราได้


     อภิสังขารมาร อภิสังขาร คือกรรมฝ่ายวิบากอกุศล เป็นอปุญญาภิสังขารที่ปรุงแต่งผลบาปอันเผ็ดร้อน ซึ่งเราอาจจะเคยทำกรรมไม่ดีเอาไว้ในอดีต แล้วตามมาส่งผลในภพชาติปัจจุบัน คอยเป็นมารขัดขวางเราไม่ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง ได้รับความไม่สบายกายไม่สบายใจบ้าง


     มัจจุมาร มารคือความตาย การมีชีวิตที่ยืนยาวและได้สร้างบารมีนั้น นับว่าเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐทีเดียว แต่ถ้าเกิดมาไม่กี่ปีก็ถูกพญามัจจุราชพรากเอาชีวิตไป ต้องละจากโลกนี้ไปเสียแล้ว ทำให้ต้องสูญเสียโอกาสที่จะทำความดีอย่างอื่นอีกมากมาย ฉะนั้น การที่ความตายมาคร่าชีวิตเราไปก่อนที่จะสร้างบารมีได้เต็มเปี่ยม ยังไม่ทันทำกิเลสอาสวะให้เบาบางเลย ก็ต้องตายเสียก่อนแล้ว ตรงนี้แหละท่านเรียกว่าเป็นมาร


     เทวปุตตมาร ท่านหมายเอาตั้งแต่บุคคลที่อยู่ใกล้ตัว ที่คอยขัดขวางไม่ให้เราทำความดี บางครั้งอาจเป็นสามี ภรรยาของเราเอง หรือเพื่อนฝูงเรา ที่มาขัดขวางการให้ทาน ไม่อยากให้รักษาศีล หรือขณะนั่งสมาธิ(Meditation)ก็มารบกวนทำเสียงดัง ทำให้ไม่มีสมาธิในการนั่งธรรมะต่อไป หรือบางครั้งเราอาจจะเป็นเทพบุตรมารต่อคนอื่นก็มี คือเราเผลอไปรบกวนหรือขัดขวางคนกำลังปฏิบัติเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ


     มารทั้ง ๕ ประการนี้ ปรากฏให้เราเห็นเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เพียงแต่เราอาจไม่ทันสังเกต หรือมีความชาชินกับอุปสรรคต่างๆ เหล่านี้ไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงต้องนำมาชี้ นำมาแสดงให้ได้ทราบว่า ที่เรียกว่ามาร มิใช่มีเฉพาะกิเลสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีทั้งขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวปุตตมาร โดยเฉพาะมารที่เคยมารบกวนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่บ่อยๆ นั้น มาให้เห็นเป็นตัวเป็นตนกันเลยทีเดียว


     เหมือนครั้งสมัยก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้ธรรม พวกหมู่มารก็ยกพลกันมามืดฟ้ามัวดิน จะมาแย่งรัตนบัลลังก์ของท่าน มาข่มขู่ขัดขวางการตรัสรู้ธรรมของพระองค์ แม้แต่เหล่าเทวดา พรหม อรูปพรหม ต่างก็หวาดหวั่นพรั่นพรึง ต้องหนีไปอยู่กันที่สุดขอบจักรวาลโน่น ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงระลึกถึงกำลังบุญบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ที่ท่านได้สั่งสมมาดีแล้วให้มาช่วยปราบมาร ทำให้หมู่เสนามารต้องล่าถอยกลับไป


     พอหลังจากพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว คราวนี้ พญามารตัวจริงมาเองเลย มาถึงแล้วก็กราบทูลให้นิพพานกันเลยทีเดียว เพราะเขาไม่อยากให้พระองค์ทรงพระชนมายุอยู่นาน กลัวว่าจะสอนสรรพสัตว์ให้หมดกิเลสตามพระองค์ไปหมด จากที่เคยข่มขู่ให้หวาดกลัวก่อนตรัสรู้ธรรม ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมด้วยการอ้อนวอนว่า "ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพานเถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เนื่องจากพระองค์ได้สมปรารถนาแล้ว"


     * นี่ขนาดยังไม่ทันจะได้สั่งสอนเวไนยสัตว์เลย จะบังคับให้พระองค์นิพพานเสียแล้ว พระบรมศาสดาได้ตรัสตอบไปว่า “ดูก่อนมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา จักเป็นผู้ฉลาด ได้รับคำแนะนำ เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควร แก่ธรรม เรียนธรรมะแล้ว จักบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้เข้าใจง่าย ยังไม่ได้เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา อุบาสกอุบาสิกาผู้ เป็นสาวกของเราจักยังไม่ฉลาด ไม่เป็นพหูสูตและทรงธรรมเพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ดูก่อนมารผู้มีบาป พรหมจรรย์นี้ของเราจักยังไม่บริบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น ตราบเท่าที่เทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้วเพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น


     เราจะเห็นว่า พระบรมศาสดาของเรา ทรงมีพระมหากรุณาอันกว้างใหญ่ไม่มีประมาณ ทรงหวังความสุขอย่างแท้จริงแก่สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ไม่เข้านิพพานไปเสวยเอกันตบรมสุขตามลำพัง แต่พญามารก็ไม่ยอม คอยตามขัดขวางการเผยแผ่พระสัจธรรมของพระพุทธองค์ทุกรูปแบบ


     ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาแผ่ขยายออกไป ตั้งมั่นดีแล้ว พญามารก็ตามมาขอร้องให้ปรินิพพานอีก ได้กล่าวคำเดิมๆ อีกนั่นแหละว่า "ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เพราะพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาผู้เป็นสาวกจักยังไม่ฉลาด พรหมจรรย์ของเราจักไม่บริบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น แต่บัดนี้พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าบริบูรณ์แล้ว กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมากแล้ว ขอให้ปรินิพพานได้แล้ว"


     เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว พระพุทธองค์จึงต้องรับปากว่า "รออีกหน่อยเถอะ ล่วงจากนี้ไปส ๓ เดือน ตถาคตจักปรินิพพาน ขอท่านจงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย อย่าได้มารบกวนเราอีกต่อไปเลย" เราจะเห็นว่า พญามารเขามีฤทธิ์มากทีเดียว ขนาดพระบรมศาสดา ยังถูกพญามารคอยตามขัดขวางอยู่ตลอดเวลา


     เพราะฉะนั้นทุกๆ ท่านอย่าได้ประมาทกัน ตราบใดที่กิเลสอาสวะภายในของเรายังไม่หมด ก็ต้องถูกมารทั้ง ๕ ฝูงตามรังควานเหมือนกัน มารนี่เขามีอานุภาพมากนะ ผู้ที่จะถูกเขาบังคับบัญชาได้ง่าย คือผู้ที่ไม่ค่อยฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ปล่อยใจให้เลื่อนลอย ปล่อยชีวิตให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ส่งใจไปในเรื่องนอกตัว มัวไปยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ต่างๆ ทำให้ประมาทในการรักษาใจให้หยุดนิ่ง ให้สะอาดบริสุทธิ์ 




     แต่มีอยู่ที่ๆ หนึ่งที่เราจะไม่ถูกพญามารเข้าไปบังคับบัญชาได้เลย คือที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ที่ตรงนี้เป็นหลุมหลบภัยที่ดีที่สุด เราจะปลอดภัยจากมารทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมารหรือเทวปุตตมารก็ตาม 




     ดังนั้นทุกๆท่านอย่าได้ประมาทในวัยและชีวิตกัน ให้ใช้เวลาที่ผ่านไปให้เกิดประโยชน์สูงสุด  ด้วยการน้อมนำใจให้มาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายให้ได้เป็นประจำทุกๆ วันอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ได้ตลอดเวลา เราจะได้พบที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด คือพระรัตนตรัย ซึ่งเปรียบเสมือนเกราะแก้วคุ้มกันภัยชั้นเลิศ พระรัตนตรัยนี้ท่านสิงสถิตอยู่ภายในตัวของเราทุกๆ คน




พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  

* มก. เล่ม ๑๓ หน้า ๒๘๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น