วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

หนังสือโลกทิพย์ ฉบับปี 2528 เขียนถึง หลวงพ่อธมมชโย

เชิญอ่านหรือ ดาวน์โหลด ทัศนได้ที่นี่

ธรรมเทศนาในยุคโซเชียลมีเดีย



ธรรมเทศนาในยุคโซเชียลมีเดีย
สงครามข่าวในยุคโซเชียลมีเดีย ปัจจุบันมีผู้ไม่หวังดี โจมตี
ด่าว่าพระ ด่าว่าวัดเยอะ ลงข่าวเป็นประเด็นทุกวัน เพื่อมุ่งหวังทำลายศรัทธาของชาวพุทธให้คลอนแคลน และหวังบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและสังฆมณฑล
ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องชี้แจงแสดงความจริงให้โลกรู้ และกระจายออกไปให้มากที่สุด เราไม่ชี้แจงไม่ได้…ขนาดขึ้นศาลยังต้องฟัง
ข้อมูลทั้งสองฝ่าย ถ้าเราไม่ชี้แจงความจริงไปให้มาก ๆ จะปล่อยให้
เขาให้ข้อมูลข้างเดียวหรือ? สิ่งที่เราช่วยกันกระจายข้อมูลที่ถูกต้อง ชี้แจงสัมมาทิฐิให้เกิดขึ้นนี้ ไม่ผิดหลักวิชชา

ที่บอกว่า..“ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป”
คำว่า “ไม่สู้” หมายถึง ไม่สู้แบบมิจฉาทิฐิ คือ ไม่ได้ให้ไปสู้แบบรบราฆ่าฟัน ส่วนการชี้แจงให้ชาวโลกรับรู้สิ่งที่ถูกต้องให้มาก ๆ คือปลูกสัมมาทิฐิให้เขา นี่แหละคือการ “ทำดีเรื่อยไป!”
การทำดี ต้องทำทั้งตนเองและเป็นกัลยาณมิตรให้ผู้อื่นด้วย
ให้เขาได้มีความเห็นถูก เป็นกัลยาณมิตรให้เขาเพราะ
“โลกขาดดวงตะวันไม่ได้ฉันใด
โลกก็ขาดกัลยาณมิตรไม่ได้ฉันนั้น”
แม้เราไม่เก่งเทคโนโลยี ก็ไม่เห็นจะมีปัญหา ที่ไหนมีที่ให้กด
เราก็แค่เอานิ้วไปกด บวกไปกับความคิดที่เป็นสัมมาทิฐิและความรักในเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ต้องการให้เขาไปอบาย ให้เขามีสัมมาทิฐิ แล้วทุกอย่างที่เราคิดพูดทำก็ต้องประกอบไปด้วยปัญญาและความรักปรารถนาดี
ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ก็แค่นั้นเอง

ดูตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระองค์ปฏิบัติธรรม
พระองค์ก็นั่งทำใจสงบ แต่พอถึงเวลาชี้แจงแสดงธรรม พระองค์ก็ต้องทรงชี้แจงแสดงธรรมโปรดทั้งมนุษย์และเทวดา ซึ่งมีปรากฏในพุทธกิจ
๕ ประการ พระองค์ก็ยังต้องทำ อย่างนั้น ที่เราส่ง facebook ส่ง line ยังส่งไม่ถึงเทวดาเลยนะ แต่พระพุทธองค์ทรงให้ข้อมูลชี้แจงแสดงธรรม
ถึงเทวดา ถึงพรหม ที่ไม่เข้าใจให้เข้าใจ และดำนินชีวิตได้ถูกต้อง
การชี้แจงสิ่งที่ถูกต้อง
และกระจายออกไปให้มาก ๆ
นี่คือการปลูกสัมมาทิฐิ
๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙


วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

เสียงเล่าเรื่องวัด จากโยม ถาวร พรหมถาวร

เสียงเล่าเรื่องวัด จากโยม ถาวร พรหมถาวร ฟังสบายๆ
ติดขา ติดแข้ง อย่าคิดมาก
กดอ่านเพิ่มเติม จะมีอีกหลายท่อน

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

"รักตัวเอง"

 


"ให้เราสร้างความดีของเราให้มากเข้า
บุญมากเท่าภูเขาเมื่อไร
อะไรๆ ก็ปิดไม่อยู่ บังไม่อยู่
ใครๆ ก็จะเห็นความดีของเรา
จำคำของยายเอาไว้ให้ดีนะ
เราสร้างความดี สร้างบุญของเราไปอย่างนี้
จะได้ชื่อว่า รักตัวเอง ส่งเสริมตัวเอง
ทำบุญมากๆเข้า  สักวันหนึ่งบุญจะเต็มเเน่นอน
ถึงวันนั้นเราก็สบาย
มีเเต่ความสุข"
 
คำสอนคุณยาย

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เรื่องประทับใจ อิ่มบุญ เย็นกาย เย็นใจ

เรื่องประทับใจ อิ่มบุญ เย็นกาย เย็นใจ


วันนี้พวกเราได้มาถวายภัตตาหารหอฉัน ปกติไม่เคยเห็นกลอนพระพ่อ จำได้ว่าเวลานั้น 11 โมงนิดๆ ก้องง ๆ แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง ฝนตกกระหน่ำ แรงมากๆ และตกจนถึง 4โมงเย็น ..คืนนั้นนอนหนาวนิดๆ แต่หลับสบายมีแรงกายแรงใจรับบุญใหญ่บูชาข้าวพระวันรุ่งขึ้น...และทำให้นึกถึงบทกลอนในวงฉันทุกวง ที่หอฉัน ที่ท่านมอบให้ลูกๆขึ้นมาทันที..

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559


ประโยชน์  ของการอดอาหาร "มื้อเย็น"

ทำอย่างไรจึงจะ "ไม่แก่ ไม่อ้วนและอายุยืน"
คำตอบคือ. "กินสายกลาง "
กินสายกลางคือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น
เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้
สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก . ก . ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวยังใช้ไม่หมด!!

ฉะนั้น
ถ้า กินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก
เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร

ฉะนั้น
การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการ"เสื่อมของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย "ร่ายกายต้องใช้พลังงานอย่างหนักในการเผาผลาญอาหาร"
ยิ่งกินมื้อเย็นในปริมาณที่เยอะ ก็ยิ่งเร่งการเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก "มื้อเย็น"จึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง
ฉะนั้น จึงหมายความว่าการกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก
ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ
แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน

วิธีฝึกมี 4 วิธี

1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหารเย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น

2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ

3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว

4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็นจึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน

ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง 2 มื้อคือ
"เช้ากับเพล"เท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

พุทธพจน์หมวดบุญ


..พุทธพจน์หมวดบุญ..

-ปุญฺญํ โจเรหิ ทูหรํ
บุญอันโจรนำไปไม่ได้

-ปญฺญํ สุขํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ
บุญนำสุขมาให้ในเวลาสิ้นชีวิต

-สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย
ความสั่งสมบุญ นำสุขมาให้

-ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ
บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า

-อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ กตปุญโญฺ อุภยตฺถ นนฺทติ ปุญฺญํ เม กตนุติ นนฺทติ ภิยฺโย นนฺทุติ สุคตึ คโต
ผู้ทำบุญแล้วย่อมยินดีในโลกนี้ ตายแล้วย่อมยินดีชื่อว่ายินดีในโลกทั้งสอง เขาย่อมยินดีว่าเราทำบุญไว้แล้ว ไปสู่สุคติย่อมยินดียิ่งขึ้น

-ปญฺญญฺ ปริโส กยิรา กยิราถนํ ปุนปฺปุนํ ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย
ถ้าบุรุษจะพึ่งทำบุญ ควรทำบุญนั้นบ่อย ๆ ควรทำความพอใจในบุญนั้น การสั่งสมบุญนำความสุขมาให้

-มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส น มตฺตํ อาคมิสฺสติ อุทพินฺทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ อาปูรติ ธีโร บุญฺญสฺส โถกํ โถกํปิ อาจินํ
ไม่ควรดูหมิ่นต่อบุญว่ามีประมาณน้อยจักไม่มีมาถึง แม้หม้อน้ำย่อมเต็มได้ด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมาฉันใด ผู้มีปัญญาสั่งสมบูญแม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มได้ด้วยบุญ ฉันนั้น

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชมรมฯ ปลื้มไว้นิรันดร์ กับเสาเข็มรัตนชาติ อนุสรณ์มหาวิหารหลวงปู่พระผู้ปราบมาร

รวมพุทธบริษัทสี่ สถาปนา อนุสรณ์สถาน มหาวิหารพระมงคลเทพมุนีสถานที่เผยแพร่ธรรมครั้งแรกที่วัดบางปลา ‪#‎วันพระ‬ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2559
 





เอาบุญนั่งสมาธิ, ตอกเสาเข็ม, โปรยรัตนชาติ, จุดโคมประทีป, สวดธัมมจักฯ, อธิษฐานจิต มาฝากเพื่อนๆ ทั่วโลกให้รวยทั้งทรัพย์นอกและอริยะทรัพย์ภายในนะ

ตอนที่ ๑ ครอบครัวท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี



        อนาถบิณฑิกเศรษฐีมีชื่อเดิมว่า สุทัตตะ แปลว่า ผู้มีตนดี  คือ ตั้งตนไว้ดี ไม่มีชั่วเลย หรือผู้มีการให้ทานอันดี
        ท่านเป็นชาวเมืองสาวัตถี เป็นบุตรของท่านสุมนมหาเศรษฐี ที่มาของชื่อ อนาถบิณฑิกะ คือ อุปนิสัยของท่านเป็นคนไม่ตระหนี่ เป็นผู้มีการให้ทานเป็นปกติ อย่างสม่ำเสมอเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ และมีเมตตากรุณาให้ ทานแก่คนยากคนจนเสมอ จนได้ชื่อว่า อนาถบิณฑิกะ  แปลว่า  ผู้ให้ก้อนข้าวสำหรับคนยากไร้  



        ท่านมีน้องชายคนหนึ่งชื่อ สุภูติกุฎุมพี  รูปหล่อทะมัดทะแมง   และมีน้องสาวชื่อ  สิริสุมนา ท่านอนาถบิณฑิกะมีภรรยาชื่อว่า บุญญลักษณา  ซึ่งเป็นน้องสาวของเศรษฐีในกรุงราชคฤห์  ที่มีชื่อว่า ราชคหเศรษฐี ส่วนน้องสาวของท่านอนาถบิณฑิกะ ก็เป็นภรรยาของราชคหเศรษฐีเช่นกัน และท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกับท่านราชคหเศรษฐีก็เป็นสหายกัน 
        ทั้งสองต่างก็ไปมาหาสู่เพื่อค้าขายกัน ราชคหเศรษฐีจะเอาสินค้าบรรทุกเกวียน  ๕๐๐  เล่ม มาขายในเมืองสาวัตถี  ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองสาวัตถี  พอใกล้จะถึงเมืองสาวัตถีอีก  ๑ โยชน์  ก็ให้บริวารไปส่งข่าวให้ท่านอนาถบิณฑิกะทราบ  ส่งข่าวมาก่อนเพื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีจะได้เตรียมตัวออกไปต้อนรับท่านราชคหเศรษฐีด้วยตนเอง   แล้วก็จะเชิญท่านราชคหเศรษฐีขึ้นยานพาหนะคันเดียวกัน  ทักทายสารทุกข์สุขดิบกัน  คุยกันไปเรื่อย ๆ ด้วยความปลื้มปีติยินดีแล้วก็พาเข้าเมืองสาวัตถี  ราชคหเศรษฐีจะมาพักที่บ้านท่านอนาถบิณฑิกะ จนกระทั่งค้าขายเสร็จ พอเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับเมืองของตน  แล้วในทำนองเดียวกัน  เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีไปค้าขายที่กรุงราชคฤห์  ก็จะนำสินค้าจากเมืองสาวัตถีไปขายที่กรุงราชคฤห์ก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากราชคหเศรษฐีเช่นเดียวกัน  คือ พอจะถึงอีก  ๑ โยชน์ก็จะเอารถออกมารับ  แล้วก็นั่งรถไปด้วยกัน 

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

คนอัศจรรย์ ที่บันลือลั่นไปทั่วภพสาม


      เป็นบทคัดย่อ  และเรียบเรียงจากพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)  หรือ คุณครูไม่ใหญ่  ในทัศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา  ซึ่งเป็นเรื่องมาจากพระไตรปิฎก แล้วนำมาเล่าอธิบายขยายความและประกอบภาพ  เพื่อให้ผู้ฟังและผู้อ่านเกิดความรู้  ความเข้าใจในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยิ่ง ๆ ขึ้น  และสามารถนำไปเป็นแบบอย่างในการสร้างความดีต่อไป

        ดังนั้น  สำนวนภาษาที่ใช้แสดงธรรม  จึงเป็นลักษณะการเล่าเรื่องด้วยภาษาพูดง่าย ๆ อ่านสบาย ๆ เหมือนอยู่ในบรรยากาศของชั้นเรียนที่มีทั้งคุณครูและนักเรียน

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

ทำไมต้องก่อสร้างศาสนสถานใหญ่ๆด้วยพระพุทธศาสนาสอนให้สมถะ ทำอะไรเล็กๆมิใช่หรือ?




          เราชาวพุทธเป็นลูกพระพุทธเจ้า การทำงานก็ควรดูแบบอย่างจากพระองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ทรงทำอย่างไรจึงประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคงเป็นปึกแผ่นสืบทอดมาถึงเราได้ถึง 2500 กว่าปีแล้ว

ประกายความคิด



ดูเพื่อนดีดูที่การกระทำ
ดูผู้นำดูที่การเสียสละ


เมื่อต้องการชนะคนก็ต้องยอมแพ้กิเลส
เมื่อต้องการชนะกิเลสก็ต้องยอมแพ้คน



ร้องไห้เอาชนะใจคนได้เป็นบางคน
แต่ยิ้มแย้มเอาชนะใจคนได้เกือบทั้งโลก


ความรู้สึกต้องไม่บีบบังคับ
ความลับต้องไม่ปกปิด
ความผิดต้องรีบแก้ไข
ความในใจต้องพูดจากัน
ความสัมพันธ์จึงจะไม่เสื่อมถอย


ถ้าเอาทุกเรื่องที่ได้ยินและได้เห็นมาใส่ใจ
ใจก็จะกลายเป็นถังขยะ
ส่งกลิ่นเน่าเหม็นรบกวนผู้คนทั่วไป



คนที่มองโลกตามความเป็นจริง
คือมีทั้งแง่ดีและแง่ร้าย ย่อมอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสบาย